SEO มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และในปี 2025 Google จะให้ความสำคัญกับ เจตนาของผู้ใช้ (User Intent), คุณภาพของเนื้อหา, และประสิทธิภาพของเว็บไซต์ มากขึ้น ดังนั้น การใช้เทคนิคพื้นฐานอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ดังนั้นเราจะต้องเพิ่ม Check list ที่ต้องทำเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุง SEO ของเว็บไซต์เรา
ติดตั้ง Google Search Console (GSC)
สำหรับคนที่พึ่งเริ่มหัดทำ SEO บนเว็บไซต์ของตัวเอง เครื่องมือนี้สำคัญมากสำหรับทำ SEO เพราะจะช่วยติดตามประสิทธิภาพของการค้นหาบน Google ที่มีข้อมูลเชื่อมโยงและสามารถช่วยวัดผลเว็บไซต์ของเราได้ ในการวัดผลการทำ SEO บน Google
- ตรวจสอบคีย์เวิร์ดที่เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ
- ส่ง Sitemap เพื่อช่วยให้ Google จัดทำดัชนีเว็บไซต์
- แก้ไขปัญหาที่อาจกระทบต่อการจัดอันดับ
- ตรวจสอบคะแนน Core Web Vitals
หากต้องการวัดผลใน Search engine อย่าง Bing ต้องใช้เครื่องมือ Bing Webmaster Tools (BWT) เพื่อวัดผลแยกด้วย
ติดตั้ง Google Analytics
เครื่องมือนี้ยังคงเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่คนทำ SEO ต้องมี เพื่อดูว่าผู้ชมเว็บไซต์ของเรามีรายละเอียดหรือข้อมูลอย่างไรบ้าง
- จำนวนผู้เยี่ยมชมและแหล่งที่มาของทราฟฟิก
- พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์
- อัตราการมีส่วนร่วมและ Conversion Rate
เคล็ดลับ: ควรเชื่อมโยง Google Analytics กับ Google Search Console เพื่อดูข้อมูล SEO ได้ง่ายขึ้น
ติดตั้งหรือปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสำหรับ SEO
หากคุณใช้ Wordpres ก็จะมี Plugin ยอดนิยมอย่างเช่น Yoast SEO ที่ช่วยการทำ SEO On-Page ได้ดียิ่งขึ้น หลักการ On-page มีดังนี้
- ใส่ Keyword ใน URL
- ใช้ URL ที่สั้นและกระชับ
- ใส่ Keyword ลงใน Title Tag
- ปรับ Title Tag เพิ่มเติมให้เหมาะกับการค้นหาแบบกว้างกว่าเดิม
- ใช้ Keyword ใน 150 คำแรกของเนื้อหา
- ใช้ H1, H2, H3 ให้ถูกต้อง
- ใส่ Alt Text ให้ภาพ
- ใช้หลักการ LSI (Latent Semantic Indexing) ใช้คำที่เกี่ยวข้องหรือมีความหมายใกล้เคียงกันกับ Keyword
- ลิงก์ไปยังเว็บไซต์อื่น เพิ่มความน่าเชื่อถือให้เนื้อหา (ระวังไปเพิ่มความน่าเชื่อถือให้คู่แข่ง)
- ใช้ Internal Links ลิงก์ไปยังบทความอื่นบนเว็บคุณ
กำหนด KPI
- จำนวนผู้เข้าชมแบบออร์แกนิก (Organic Traffic)
การเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ด้วยการค้นหาที่เพิ่มขึ้นจากการค้นหาของลูกค้าเอง เป็นผลลัพท์ที่ทำให้แบรนด์ของคุณมีการค้นหามากขึ้น และยอดขายของธุรกิจของคุณก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน - การรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)
การมองเห็นที่เพิ่มขึ้นในผลการค้นหาสามารถส่งเสริมการรับรู้แบรนด์ของคุณ สร้างความไว้วางใจกับลูกค้าที่มีศักยภาพ - จำนวนและคุณภาพของ Backlinks
การได้รับแบ็คลิงก์คุณภาพสูงมากขึ้นสามารถปรับปรุงความน่าเชื่อถือของไซต์ของคุณได้ และช่วยให้คุณติดอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหา ซึ่งจะส่งผลให้มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น - อันดับของคีย์เวิร์ดที่สำคัญ
การตรวจสอบอันดับของหน้าของคุณสำหรับคีย์เวิร์ดเป้าหมาย จะช่วยให้คุณปรับตัวได้อย่างรวดเร็วเมื่อเจอกับผลลัพธ์ที่ลดลง และใช้ประโยชน์จากผลลัพธ์ที่เพิ่มมากขึ้นได้ด้วยเช่นกัน
ติดตั้ง Rank Tracking
เพื่อเช็ค Rank ของ Google ที่เขาตั้ง Score ไว้ และในปัจจุบันนี้การทำ SEO จะมีการเชื่อมโยงไปเกี่ยวข้องกับการค้นหา Local business ใน Google map ทำให้มีเครื่องมือที่จะช่วยวิเคราะห์เกี่ยวกับการค้นหาใน Google map เพิ่มเติมเข้ามา
ติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์คู่แข่ง
ใช่ครับ นอกจากเราจะดูเว็บไซต์ของเราแล้ว เราต้องดูคู่แข่งด้วยว่าเขา วาง Backlink ไว้ที่ไหน เน้นคีย์เวิร์ดอะไรอยู่ เครื่องมือที่ชื่อว่า Semrush ก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในหัวข้อนี้ได้
ระบุตลาดเป้าหมาย
ก่อนที่คุณจะค้นหาคำหลักที่เหมาะสมเพื่อกำหนดเป้าหมาย คุณต้องเข้าใจก่อนว่าใครกำลังค้นหา และพวกเขาต้องการเรียนรู้หรือต้องการได้รับอะไรจากเนื้อหาที่พวกเขาค้นหา (เรียกอีกอย่างว่าเจตนาในการค้นหา)
- ใครคือลูกค้าของคุณ:
โปรไฟล์ลูกค้าของผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณเป็นอย่างไร พวกเขาใช้ภาษาอะไร และลูกค้าชอบดูเนื้อหาประเภทใด - จุดที่เป็นปัญหาของลูกค้าคืออะไร:
ลูกค้าประสบปัญหาอะไรอยู่ คุณสามารถช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้อย่างไร - ลูกค้าใช้แพลตฟอร์มใด:
ลูกค้าค้นหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณขายหรือไม่ หรือพวกเขามีแนวโน้มที่จะใช้งานโซเชียลมีเดียมากกว่ากัน - ลูกค้าค้นหาอะไร:
หากลูกค้ากำลังค้นหา ผลิตภัณฑ์/บริการ/เนื้อหาประเภท อะไรของคุณอย่างจริงจัง พวกเขาใช้คำไหนบ้าง
ทำ Content checklist
- แบ่งเนื้อหาเป็นช่วงๆ (Chunking) ใช้ย่อหน้าเล็กๆ และอาจจะใส่ Bullet Points
- เพิ่มโอกาสติด Featured Snippet โดยใช้ ลิสต์หัวข้อ, ตาราง, และคำตอบสั้นๆ
- ใช้หลักการ E-E-A-T (Expertise, Experience, Authoritativeness, Trustworthiness) เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ
- โฟกัสที่เนื้อหาที่ให้ความสนใจในปัจจุบัน เช่น คอนเทนต์ที่อิงจากงานวิจัย, กรณีศึกษา
- ใช้รูปภาพ, วิดีโอ, อินโฟกราฟิก ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของผู้อ่าน ทำให้ผู้อ่านอยู่กับเว็บไซต์เราได้นานขึ้น อาจส่งผลให้แชร์บอกต่อกันได้ด้วย
- อัปเดตเนื้อหาเก่าและรีโพสต์ใหม่ ทำให้ติดอันดับได้นานขึ้น
ทำ Technical checklist
- ตรวจสอบ Crawl & Indexing Errors – ใช้ Google Search Console
- เช็คว่า Google มองเห็นเว็บคุณอย่างไร – ใช้ Inspect URL ใน GSC
- ทำให้เว็บรองรับมือถือ (Mobile-Friendly) – Google ใช้ Mobile-First Indexing
- แก้ไขลิงก์เสีย (Broken Links) – ใช้ DrLinkCheck.com
- ใช้ HTTPS – เว็บที่ใช้ HTTPS ติดอันดับดีกว่า
- ปรับความเร็วเว็บไซต์ (Core Web Vitals) – ใช้ PageSpeed Insights
- ใช้ Schema Markup – ทำให้ Google เข้าใจข้อมูลบนเว็บคุณมากขึ้น เช่น การให้ดาวรีวิว
ทำ Link Building
- เขียน Guest Post บนเว็บไซต์อื่น
- ทำ Digital PR เพื่อให้สื่อต่างๆ ลิงก์กลับมายังเว็บคุณ
- สร้างเนื้อหาที่มีคนอยากลิงก์ถึง (Linkable Assets) – เช่น สถิติ, งานวิจัย
- วิเคราะห์ Backlinks คู่แข่ง – ใช้ Semrush หาดูว่าเว็บคู่แข่งได้ลิงก์จากที่ไหน
- เป็นแขกรับเชิญใน Podcast – ได้ทั้งแบรนด์ดิ้งและลิงก์กลับมายังเว็บ
- พูดถึง Influencers ในบทความ – แล้วแจ้งให้พวกเขารู้เพื่ออาจจะได้โอกาสแชร์หรือได้รับ Backlink
คำแนะนำเพิ่มเติม
สำหรับผู้ที่พึ่งเริ่มต้นทำ SEO แล้วไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน ให้คุณเริ่มจากลำดับขั้นตอนดังนี้
- ศึกษาพื้นฐานเกี่ยวกับ SEO
- เริ่มค้นหาและวิจัยคีย์เวิร์ดที่จะทำให้ลูกค้าเห็นใน Search engine และเข้ามาที่เว็บไซต์เราได้
- ปรับแต่ง On-page ด้วยเครื่องมือต่างๆ
หลังทำตามขั้นตอนนี้แล้ว แต่ยังพบปัญหาเรื่องของทราฟฟิคยังน้อยอยู่ ให้คุณลองเช็คเกี่ยวกับ Content checklist เพื่อปรับปรุงหัวข้อและเนื้อหาบทความให้จูงใจมากยิ่งขึ้น เพราะสิ่งที่เขียนไป ข้อมูลเหล่านี้มีขึ้นไปโชว์บน Google search ด้วย และหากต้องการเพิ่มทราฟฟิค ให้ลองดูหลักการ Link Building และ Advanced SEO Tactics
หากพบปัญหาเว็บไซต์โหลดช้า ในส่วนนี้ต้องเช็คด้าน Technical SEO Checklist เพราะความเร็วในการแสดงผลของเว็บไซต์ก็มีผลสำหรับการทำ SEO